Monday, August 5, 2019


การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กรความหมาย
การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร ข้อแตกต่างของคำว่า ประสิทธิผล กับ ประสิทธิภาพประสิทธิผล(Effectiveness) หมายถึง ความสำเร็จในการที่สามารถดำเนินกิจการก้าวหน้าไปและสามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ที่องค์กรตั้งไว้
ประสิทธิภาพ (Effciency) หมายถึง การเปรียบเทียบทรัพยากรที่ใช้ไปกับผลที่ได้จากการทำงานว่าดีขึ้นอย่างไร แค่ไหน ในขณะที่กำลังทำงานตามเป้าหมายองค์กร วิธีการใช้ตัวเกณฑ์วัดประสิทธิภาพขององค์กร
1. เกณฑ์วัดผลตามเป้าหมาย
2. เกณฑ์การบริหารประสิทธิภาพเชิงระบบ
3. เกณฑ์การบริหารประสิทธิภาพโดยอาศัยกลยุทธ์ตามสภาพแวดล้อมเฉพาะส่วน
4. การใช้วิธีการแข่งขันคุณค่าการสร้างองค์กรแห่งคุณภาพ
👉การที่องค์กรจะไปสู่คุณภาพนั้น จำเป็นต้องปรับองค์กร โดยทั่วไปนิยมใช้ 3 วิธีคือ
1. การลดต้นทุน
2. การเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง
3. การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
นิสัยแห่งคุณภาพมี 7 ประการ ดังนี้
1. ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
2. การทำงานเป็นทีม
3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
4. การมุ่งที่กระบวนการ
5. การศึกษาและฝึกอบรม
6. ประกันคุณภาพ
7. การส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วม
👉กลยุทธ์การบริหารเชิงคุณภาพ เป็นเพียงการนำเสนอดังนี้  
1. วงจร PDCA หรือ PDCA
2. ระบบ 5 ส หรือ 5 S
3. กลุ่มระบบ QCC (Quality Contrl Circle:QCC)
4. ระบบการปรับรื้อ (Re-engineering)
5. ระบบ TQM (Total Quality Management)
องค์กรและการจัดการองค์กร
ความหมายขององค์กร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตตยสถาน ได้นิยามความหมายของ “องค์กร” ไว้ว่าองค์กรเป็นศูนย์รวมกิจกรรมที่ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วย ถ้าเป็นงานสาธารณะ เรียกว่า องค์กรบริหารส่วนราชการ ถ้าเป็นหน่วยงานเอกชน เรียกว่า องค์กรบริหารธุรกิจลักษณะขององค์กร องค์กรโดยทั่วไป แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ   คือ
1. องค์กรทางสังคม
2. องค์กรทางราชการ
3. องค์กรเอกชน
💜1. โครงสร้างขององค์กร
โครงสร้างขององค์กร เป็นการมององค์กรในลักษณะที่เต็มที่ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ และบทบาทหน้าที่ที่เป็นระเบียบ เพื่อการจัดการและบริหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อความสำเร็จขององค์กร
💜2. โครงสร้างขององค์กรจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ
ดังนี้มีเป้าหมายวัตถุประสงค์มีภารหน้าที่มีการแบ่งงานกันทำมีสายการบังคับบัญชามีช่วงการควบคุมมีความเอกภาพประเภทขององค์กร องค์กรจะมีความแตกต่างกันมากมาย ทั้งในด้านองค์ประกอบและวัตถุประสงค์ ฉะนั้นในการแบ่งประเภทขององค์กร จึงสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
2.1 องค์กรปฐมและมัธยม
2.2 องค์กรรูปนัยและอรูปนัย
เป้าหมายขององค์กรเป้าหมายขององค์กร เป็นการกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์กร โดยคอยกำหนดแนวทางการปฏิบัติ เมื่อองค์กรมีเป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้มีความเข้าใจในการทำงาน
หลักการจัดองค์กรครั้งนี้จะเน้นไปที่ระบบราชการ โดยมีหลักสำคัญดังนี้การกำหนดหน้าที่การงานการแบ่งงานสายการบังคับบัญชาอำนาจการบังคับบัญชาช่องการควบคุมแผนภูมิองค์กรสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการขัดองค์กรนักวิชาการได้กล่าวถึงหลักการจัดองค์กรไว้หลายประการ แต่โดยสรุปได้ดังนี้
💚1. องค์กรมีเป้าหมาย นโยบาย และแผนงานในการดำเนินงานอย่างชัดเจน เพื่อให้เพื่อนร่วมงานหรือสมาชิกองค์กรทราบ ซึ่งจะทำให้การบริหารองค์กรดำเนินไปด้วยความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
💚2. องค์กรต้องจัดให้มีศูนย์กลางในการอำนวยการที่มีและสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบและอำนวยการโดยตรง
💚3. องค์กรจะต้องระบุหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคนให้ชัดเจนมีการแบ่งแยกหน้าที่ตามความเหมาะสม ตรงตามความรู้ความสามารถ
💚4. องค์กรต้องจัดระบบการทำงานอย่างเหมาะสม มีเทคนิคในการควบคุมงาน และการประสานงานในองค์กร
💚5. องค์กรต้องมีระบบการสื่อสารที่ดี มีหลักอำนวยการ การวินิจฉัยสั่งการที่ดี
ขั้นตอนการจัดองค์กรการจัดองค์กรมีประสิทธิภาพนั้น เออร์เนสต์ เดล ได้เสนอแนะไว้เบื้องต้น 3 ขั้นตอน ดังนี้การกำหนดรายละเอียดของงานการแบ่งงานให้แต่ละคนในองค์กรได้รับผิดชอบตามความเหมาะสมการประสานงาน
พฤติกรรมในองค์กรพฤติกรรมในองค์กร
องค์กรจะสร้างรูปแบบของการดำเนินงาน ตลอดจนการปฎิบัติงานต่าง ๆ ขึ้น เพื่อสนองตอบการเปลี่ยนของ  สิ่งแวดล้อม และสภาวะที่เกิดจากการดำเนินงานของบุคคลและของกลุ่ม หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รูปแบบเฉพาะในการดำเนินงานที่องค์กรสร้างขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการปรับองค์ประกอบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกันและกันได้การศึกษาพฤติกรรมต่าง ๆ ในองค์กร 3 ระดับ คือ
1. พฤติกรรมบุคคล (Individual Behavior)
2. พฤติกรรมกลุ่ม (Group Behavior)
3. พฤติกรรมองค์กร (Organization Behavior)
การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กร

กลยุทธิ์ในการพัฒนาตนเองเพื่อให้การพัฒนาตนเองประสบผลสำเร็จ จึงขอเสนอหลักการเพิ่มเติม เพื่อการพัฒนาตนเองไปถึงจุดที่ควรจะเป็น และพยายามหาวิธีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ โดยบุคคลจะต้องเรียนรู้ตัวเราให้ดีก่อน แล้วจึงนำความเข้าใจกับสิ่งที่เรารู้ จากตัวบุคคลจาสิ่งที่ตัวเราที่แท้จริงก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เราสามารถมองเห็นข้อบกพร่อง แล้วจึงยึดหลักเพื่อปฏิบัติตนเอง เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการประกอบอาชีพ หรือการดำเนินชีวิตดังนี้การเป็นผู้มีจิตใจสงบการเป็นผู้มีจิตใจเบิกบานความเป็นผู้ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบากเป็นผู้ตรงต่อเวลา ความเป็นผู้มีความเชื่อมั่นในตนเองความเป็นผู้ละเอียดรอบคอบการเป็นคนขยันขันแข็งความเป็นผู้เชื่อถือของผู้อื่นการสร้างทีมงานความสำเร็จของงานขึ้นอยู่กับปัจจัยการทำงานเป็นทีม ภารกิจสำเร็จของนักบริหารจัดการคือ การพยายามทำความเข้าใจกับส่วนประกอบของทีมงาน การกำหนดวัตถุประสงค์ของทีมงานให้ชัดจน และการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายขององค์กรนักบริหารจะต้องไม่ลืมความสัมพันธ์ลักษณะระหว่างคุณลักษณะของการทำงานเป็น กับความสำเร็จงานบนพื้นฐานง่ายๆ ดังนี้
การสร้างทีมงาน
💙1. การสร้างทีมงาน (Team-Building)
💙2. การทำงานป็นทีม(Team- Wok)

Monday, July 1, 2019


💗การจัดการความเสี่ยง💗
💛ความหมายของความเสี่ยงในมุมมองขององค์การทั่วไป
        ความเสี่ยง (Risk) หมายถึง เหตุการณ์/การกระทำใดๆ ที่มีความแน่นอนซึ่งหากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบในเชิงลบ ต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การ หรือลดโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการที่จะก้าวสู่พันธกิจ และวิสัยทัศน์ที่ได้กำหนดไว้
        โอกาส (Opportunity) มายถึง เหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งหากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบในเชิงบวก ต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การซึ่งผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะได้ทบทวนถึงกลยุทธ์ที่เหมาะสมและแผนงานที่เหมาะสมใหม่ เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับองค์การนอกเหนือจากแผนงานและโครงการที่ได้กำหนดไว้แล้ว
ความเสี่ยงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต ประกอบด้วยปัจจัย ประการ คือ ความเป็นไปได้ของโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์หรือความน่าจะเกิดขึ้น และความรุนแรงของผลตรงข้ามที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้นสิ่งสำคัญต้องทำให้ทั้ง ประการได้สมดุลกัน
👉ประเภทของความเสี่ยง
       ความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคหรืออันตราย (Hazard)
                   ความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคหรืออันตราย คือ เหตุการณ์ในเชิงลบ/เหตุการณ์ไม่ดีที่หากเกิดขึ้นแล้วอาจเป็นอันตรายหรือสร้างความเสียหายต่อองค์การ เช่น ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การแข่งขันทางการตลาดทั้งสินค้าและบริการ การเปลี่ยนแปลงนโยบาย กลยุทธ์ ศักยภาพ ความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน เป็นต้น
ความเสี่ยงที่เป็นความไม่แน่นอน (Uncertainly)
                   ความเสี่ยงที่เป็นความไม่แน่นอน คือ เหตุการณ์ที่ทำให้ผลที่องค์การได้รับจากการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หรือการไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ อันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่างบประมาณที่กำหนดไว้ เป็นต้น
        ความเสี่ยงที่เป็นโอกาส (Opportunity)
                   ความเสี่ยงที่เป็นโอกาส คือ เหตุการณ์ที่ทำให้องค์การเสียโอกาสในการแข่งขัน การดำเนินงานและการเพิ่มมูลค่าของผู้มีผลประโยชน์ร่วม เช่น การไม่ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะในการปฏิบัติงาน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพขององค์การ เป็นต้น
สาเหตุแห่งความเสี่ยง
         ความเสี่ยงทุกประเภทเกิดขึ้นโดยมีเหตุแห่งความเสี่ยง (Risk Driver) ซึ่งอาจเป็นเหตุที่เกิดจากภายในองค์การ ผู้บริหารควรทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อธุรกิจและเหตุผลแห่งความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมาตลอดเวลา เพื่อจะได้สามารถควบคุมได้อย่างเพียงพอและเหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น
         ความเสี่ยงสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ โดยองค์การทั่วไปมักต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ เช่น แผนงาน/โครงการใหม่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ การลงทุนไม่ให้ผลตอบแทนตามที่คาดไว้ การละเลยกระบวนการทางธุรกิจ ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี คุณภาพหรือปัญหาข้อขัดข้องของกิจกรรมประมวลผลและระบบสารสนเทศ เป็นต้น ดังนั้น องค์การทั่วไปควรดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย แต่สามารถบ่งชี้เหตุการณ์ที่เป็นโอกาสในการเพิ่มคุณค่าให้กับองค์การ สิ่งที่ทำให้ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญหรือการกำหนดระดับความไม่แน่นอนที่องค์การยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน
แนวคิดการบริหารความเสี่ยง
        การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นกลวิธีที่เป็นเหตุผลที่นำมาใช้ในการบ่งชี้ วิเคราะห์ ประเมิน จัดการ ติดตาม และสื่อสารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม หน่วยงาน/ฝ่ายงาน หรือกระบวนการดำเนินงานขององค์การ เพี่อช่วยให้องค์การลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด และเพิ่มโอกาสให้แก่ธุรกิจมากที่สุด การบริหารความเสี่ยง ยังหมายความถึงการประกอบกันอย่างลงตัวของวัฒนธรรมองค์การ กระบวนการและโครงสร้างองค์การ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการบริหาร และผลได้ผลเสียขององค์การ
        การบริหารความเสี่ยงโดยมีโครงสร้างองค์การ กระบวนการ และวัฒนธรรมองค์การ ประกอบเข้าด้วยกันและมีลักษณะที่สำคัญ ได้แก่
        💙1. ผสมผสานและเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ เพราะเป็นกลไกส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนไปสู่การกำกับดูแลกิจการที่ดี
        💙2. การบริหารความเสี่ยงควรสอดคล้องกับแผนการต่างๆขององค์การ
        💙 3. พิจารณาความเสี่ยงทั้งหมด โดยครอบคลุมความเสี่ยงทั่วทั้งองค์การ
        💙4. ความเสี่ยงโดยรวมขององค์การ ได้แก่ ความเสี่ยงเกี่ยวกับกลยุทธ์ (Strategic Risk) ความเสี่ยงเกี่ยวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงเกี่ยวกับการรายงานทุกประเภท รวมทั้งรายงานทางการเงิน (Financial Risk) และความเสี่ยงทางด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (Compliance Risk) ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเสียหาย ความไม่แน่นอน และโอกาส รวมถึงการมีผลกระทบต่อวัตถุประสงค์ และความพึ่งพอใจของผู้มีส่วนได้เสียอย่างสำคัญ
        💙5. การบริหารความเสี่ยงมีความคิดแบบมองไปข้าง โดยบ่งชี้ปัจจัยของความเสี่ยงว่าเหตุการณ์ใดที่อาจจะเกิดขึ้นที่มีผลทางลบและมีผลต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
       💙 6. ได้การสนับสนุนและมีส่วนร่วม โดยทุกคนในองค์การตั้งแต่ระดับกรรมการ ผู้บริหารระดับสูงและพนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารความเสี่ยงเพื่อความสำเร็จของเป้าประสงค์ หลักพันธกิจ และวิสัยทัศน์ขององค์การ
การจัดการความเสี่ยงขององค์การ (Enterprise Risk Management : ERM)
         COSO (Committee of Sponsoring Organizations of  Treadway  Commission) ได้เสนอแนวทางใหม่ที่เรียกว่า การจัดการความเสี่ยงขององค์การ (Enterprise Risk Management : ERM) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยงในมุมมองของภาพที่เป็นองค์รวมแบบบูรณาการทั่วทั้งองค์การ
          ทุกองค์การไม่ว่าจะเป็นองค์การที่หวังผลกำไร องค์การทางการกุศล หรือหน่วยงานของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสีย ทุกองค์การนั้นต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความท้าทายทางการบริหาร เพื่อที่จะกำหนดระดับของความไม่แน่นอนที่สามารถเตรียมพร้อมในการยอมรับในความเสี่ยงเป็นกรอบความคิดทางการบริหารเพื่อที่จะจัดการกับสภาวการณ์ที่ไม่มีความแน่นอนอย่างมีประสิทธิภาพและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง โอกาสและการเพิ่มความสามารถในการสร้างคุณค่าได้อย่างแท้จริงในหลักการของการบริหารเชิกรุกหรือการบริหารความเสี่ยงภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีในการสร้างคุณค่าเพิ่มระยะยาวให้กับองค์การและสังคม
ประโยชน์ของการจัดการความเสี่ยงขององค์การ
         ไม่มีองค์การใดไม่ว่าภาครัฐหรือภาคเอกชนสามารถดำเนินการภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปราศจากความเสี่ยงได้องค์การที่ต้องดำเนินในสภาวะแวดล้อมดังกล่าว การจัดการความเสี่ยงจะช่วยให้ฝ่ายบริหารจัดการกับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี เพื่อก้าวสู่การบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายได้อย่างสมเหตุสมผล
          การจัดการความเสี่ยงขององค์การ เป็นการส่งเสริมความสามารถในด้านต่อไปนี้
การปรับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้
                     การปรับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้เป็นการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้ คือระดับความเสี่ยงที่องค์การเต็มใจที่จะยอมรับเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายขององค์การ ซึ่งการบริหารความเสี่ยงจะพิจารณาถึงความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้เป็นอย่างแรก เพื่อประเมินทางเลือกและพัฒนากลไกในการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อไป
         ความเชื่อมโยงการเติบโต ความเสี่ยง และผลตอบแทน
          การบริหารความเสี่ยงช่วยในการระบุและประเมินความเสี่ยง รวมทั้งกำหนดระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ที่สัมพันธ์กับการเติบโตและเป้าหมายของผลตอบแทนตามวัตถุประสงค์ที่องค์การกำหนดไว้
ส่งเสริมการตัดสินใจในการตอบสนองความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
     การบริหารความเสี่ยงใช้ในการระบุและเลือกทางเลือกในการตอบสนองความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ ทั้งยังช่วยจัดหาวิธีการและเทคนิคสำหรับการตัดสินใจ
การลดความไม่แน่นอนและความสูญในการปฏิบัติงานให้น้อยที่สุด
          การลดความไม่แน่นอนและความสูญเสียในการปฏิบัติงานให้น้อยที่สุดช่วยให้องค์การสามารถระบุเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ประเมินความเสี่ยงและจัดการตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้น รวมทั้งลดสิ่งไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนความสัมพันธ์ของต้นทุนและการสูญเสีย
 การระบุแลบริหารความเสี่ยงในองค์การ
     ทุกๆองค์การเผชิญกับความเสี่ยงมากมายหลายประเภทที่ส่งผลต่อส่วนต่างๆขององค์การที่แตกต่างกัน ฝ่ายบริหารไม่เพียงแต่ต้องบริหารความเสี่ยงเฉพาะบุคคลแต่เข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย

 มีการตอบสนองแบบบูรณาการกับความเสี่ยงที่หลากหลาย
     กระบวนการทางธุรกิจนำมาซึ่งความเสี่ยงสืบเนื่องหรือความเสี่ยงจากลักษณะธุรกิจในหลายรูปแบบ และการจัดการความเสี่ยงทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการต่อการบริหารความเสี่ยง
 การฉกฉวยโอกาส
        ฝ่ายบริหารต้องพิจารณาเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมากกว่าพิจารณาเฉพาะความเสี่ยง โดยการพิจารณาทุกระดับของเหตุการณ์
การจัดการกับทุนอย่างสมเหตุสมผล
           การจัดการกับทุนอย่างสมเหตุสมผลต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องมีความหมายต่อความเสี่ยงทั้งหมดขององค์การ สิ่งนี้จะทำให้การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการจัดเข้าถึงความต้องการและปรับปรุงการจัดสรรทรัพย์สินหรือทุน รวมถึงงบประมานได้อย่างเหมาะสม

กรอบการบริหารความเสี่ยง
     กรอบการบริหารความเสี่ยงจะช่วยให้ทุกหน่วยงานในองค์การมีวิธีการในการระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงในทิศทางเดียวกัน อันจะส่งผลให้การบริหารความเสี่ยงเกิดประสิทธิผลสูงสุด
             กรอบการบริหารความเสี่ยงประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
             วัฒนธรรมองค์การ (Culture)
                      ในการบริหารความเสี่ยงในทุกๆระดับขององค์การ โดยผู้บริหารระดับสูงกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงและระดับความเสี่ยงที่องค์การยอมรับได้ และชี้แจงสิ่งเหล่านี้ให้ทุกคนในองค์การได้รับทราบเพื่อจะได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง
โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง (Structure)
                          กำหนดโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และระบุหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน โดยถือว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกคนในองค์การ ตั้งแต่คณะกรรมการผู้บริหารระดับสูง  ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน
กระบวนการ (Process)
                        ปฏิบัติตามระบวนการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยมีการปรับปรุงกระบวนการให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจอยู่เสมอ
             ปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure)
                         มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี อันประกอบด้วย
                              💚 1. บุคลากรที่มีความสามารถ
                              💚2. วิธีการวัดผลการดำเนินงาน
                              💚 3. การให้ความรู้และฝึกอบรม
                              💚4. ช่องทางในการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์การ
                             💚 5. วิธีการสอบทานคุณภาพเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าองค์การสามารถดำเนินการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอขอบคุณ 
https://sites.google.com/site/rtech603xx/unit-9/unit-14
สืบค้นเมื่อวันที่(1กรกฏาคม2562)






😃การเพิ่มผลผลิต😃
การเพิ่มผลผลิตในองค์การที่สำคัญ คือ กระบวนการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิต คือ นโยบายของรัฐ ทรัพยากรที่ใช้ รวมทั้งค่านิยมสังคม การเพิ่มผลผลิตที่ดีนั้นองค์การต้องผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการด้วยขั้นตอนและวิธีควบคุมการผลิตการสร้างคุณค่าและความเชื่อถือที่สร้างความพอใจให้กับลูกค้าด้วยคุณภาพที่ดีสม่ำเสมอซึ่งจะส่งผลถึงการเพิ่มผลผลิตโยรวมขององค์การในที่สุด

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิต 
สภาพแวดล้อมภายนอก(External Factor)เกี่ยวข้องโดยตรงส่งผลกระทบถึงศักยภาพของการบริหารองค์การและความสามารถในการบรรลุเป้าหมายของการผลิตองค์การต้องประเมินโอกาสและอุปสรรคจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการสภาพการณ์แข่งขันของธุรกิจ  ซึ่งมีอิทธิพลต่อความสำเร็จของการเพิ่มผลผลิต  องค์การที่มีการดำเนินงานลักษณะซับซ้อนบางองค์การได้กำหนดแผนกวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการเพิ่มผลผลิตโดยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมภายนอก  ซึ่งผู้บริหารควรให้ความสำคัญในการวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค  เพื่อการวางแผนในอนาคต  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิตที่สำคัญ  ได้แก่
1. นโยบายของรัฐ  (Policies) หมายถึง  แนวทางที่รัฐกำหนดขอบเขตครอบคลุมถึงเป้าหมายของรัฐ  ในการที่จะเร่งรัดพัฒนาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  ความมั่นคง  การจ้างงานบนพื้นฐานแห่งความเป็นธรรม  และการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในชาติให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่รัฐได้กำหนด  ดังนั้นรัฐจะต้องกำหนดนโยบายส่งเสริมและการกระทำอย่างต่อเนื่องในเรื่องต่างๆ  ดังนี้
💚1.1 การวางแผนโดยรวมการใช้สาธารณูปโภค  ความคงที่ในเรื่องราคาและฐานภาษี
💚1.2 การส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อมเพื่อการทดแทนการนำเข้า
💚1.3 การเปลี่ยนแปลงแบบแผนความต้องการภายในประเทศ
💚1.4 ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานการแข่งขันอย่างเสรี
💚1.5 การสร้างความเจริญก้าวหน้า  จะต้องควบคู่ไปกับการศึกษา  และการรักษาสภาพแวดล้อม 

        2.ทรัพยากรที่ใช้ (Resources) หมายถึง ทรัพยากรทั้งหลายที่ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลกระทบต่อการเพิ่มผลผลิตทั้งสิ้น  ได้แก่
💙2.1 ทรัพยากรธรรมชาติ
💙2.2 ทรัพยากรบุคคล  (Human  Resources)  คือ  ความสามารถของกำลังคนในสังคม
💙2.3 ทรัพยากรทางด้านการเงิน
💙2.4 เทคโนโลยีทางด้านการผลิต
💙2.5 การจัดองค์การและการบริหารงานด้านการผลิต

        3.ค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรม  จะรวมถึงจริยธรรมในการทำงานและทัศนคติของบุคคล  เช่น  ค่านิยมส่วนบุคคล (Individual  Values) และทัศนคติของคนในสังคมที่เรียกว่า  ค่านิยมของสังคม  ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มผลผลิตทั้งสิ้น

องค์ประกอบของการเพิ่มผลผลิต
การผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นองค์การขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กก็ตาม  กิจการจะเจริญเติบโตได้ก็ต่อเมื่อองค์การสามารถเพิ่มความได้เปรียบในเชิงการค้าการเพิ่มผลผลิตที่ดีนั้นจะต้องประกอบด้วยคุณภาพสินค้าและบริการที่ลูกค้าพึงพอใจตรงตามความต้อกงต้องการ การผลิตจะต้องผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำและส่งมอบให้ลูกค้าได้ทันเวลา  พนักงานต้องมีความปลอดภัยและมีขวัญกำลังใจที่ดีในการทำงาน  การผลิตต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม  รวมทั้งผู้ประกอบการต้องมีจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจการเพิ่มผลผลิตที่ดีนั้นมีองค์ประกอบที่สำคัญ  7  ประการ  คือ  Q  C D  S  M  E  E
Q  :  Quality  คุณภาพ
คุณภาพหมายถึงข้อกำหนด(Specification)ของสินค้าที่องค์การหรือบริษัทหรือผู้ขายเป็นผู้กำหนดขึ้น  ปัจจุบันคุณภาพหมายถึง  สิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือพึงพอใจ (Satisfaction)
C  : Cost  ต้นทุน
ต้นทุนหมายถึงค่าใช้จ่ายทีจ่ายไปเพื่อดำเนินการผลิตสินค้าหรือบริการต้นทุนจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่การวางแผน  การออกแบบผลิตภัณฑ์  กระบวนการผลิต  การทดสอบ  การจัดเก็บ  การขนส่ง  จนกระทั่งสินค้าพร้อมที่จะจัดส่งมอบให้กับลูกค้า
D : Delivery การส่งมอบ
การส่งมอบ  หมายถึง  การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้สามารถผลิตเป็นสินค้าหรือบริการให้ถึงมือลูกค้าตรงตามเวลาที่กำหนด  โดยวิธีการทำให้หน่วยงานผลิต และส่งชิ้นงานไปยังหน่วยงานต่อไปได้โดยไม่ล่าช้า  เพื่อที่จะส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้ตามกำหนดเวลาที่ลูกค้าต้องการ
S  :  Safety  ความปลอดภัย
ความปลอดภัย หมายถึง สภาวการณ์ที่ปราศจากอุบัติเหตุหรือสภาวะที่ปราศจากภัยซึ่งก่อให้เกิดบาดเจ็บหรือสูญเสีย  นอกจากนั้นยังรวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากระบวนการผลิต  และการดำเนินงานให้สูญเสียน้อยที่สุด  เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
M  :  Morale  ขวัญและกำลังใจในการทำงาน
          ขวัญและกำลังใจในการทำงาน  หมายถึง  สภาพทางจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน  ความรู้สึกนึกคิดที่ได้รับอิทธิพลจากแรงกดดันหรือสิ่งเร้าจากปัจจัยหรือสภาพแวดล้อมในองค์การที่อยู่รอบตัวและจะมีปฏิกิริยาโต้กลับ  คือ  พฤติกรรมในการทำงานซึ่งมีผลโดยตรงต่อผลงานของบุคคลนั้น

E  :  Environment  สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อม  หมายถึง  แรงผลักดันต่างๆ  ที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตขององค์การการผลิตที่ดีจะต้องมีความรับผิดชอบไม่สร้างมลพิษและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเนื่องจากประเทศต่างๆ  มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อจะแข่งขันได้ในตลาดโลก  ซึ่งการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมส่งผลกระทบมากมายต่อสิ่งแวดล้อม
E  :  Ethics  จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ
จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจหมายถึง  มาตรฐานการปฏิบัติ หรือการวินิจฉัยของผู้บริหารที่ไม่เบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม ผู้อื่นหมายความถึงตั้งแต่ผู้ขาย  ผู้ถือหุ้น  พนักงาน  คู่แข่งขัน  สังคมและสิ่งแวดล้อม











องค์ประกอบของการเพิ่มผลผลิต  สามารถจัดแยกออกได้ดังนี้
QCD  เป็นการเพิ่มผลผลิตเพื่อลูกค้า  คือผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตามที่ลูกค้ากำหนด  การควบคุมคุณภาพการผลิต  การจัดส่งที่ตรงเวลา  เพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้า
SM เป็นการเพิ่มผลผลิตเพื่อประโยชน์ของพนักงาน คือ ทำอย่างไรให้พนักงานเกิดความรู้สึกปลอดภัยในขณะทำงานและเกิดขวัญกำลังใจในการผลิต
EEเป็นการเพิ่มผลผลิตเพื่อสังคมคือทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงานจากสิ่งแวดล้อมภายในโรงงาน  แก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เคยมีให้หมดไป  เป็นการเพิ่มผลผลิตโดยรวมของชาติบนพื้นฐานคุณธรรมและความยั่งยืน
ขั้นตอนและวิธีการควบคุมการผลิต
การควบคุมการผลิต (Production Control) คือ  กิจกรรมกำกับดูแลให้การทำงานเป็นไปตามกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพถูกต้องตามแบบผลิตในเวลาอันสั้นและได้ปริมาณมากที่สุด  ผลิตภัณฑ์มีการบกพร่องน้อยที่สุด
กิจกรรมการควบคุมการผลิตเริ่มตั้งแต่ปัจจัยนำเข้ากระบวนการผลิตจนสำเร็จออกมาเป็นผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ดังแสดงไว้ในแผนภูมิ
ประเภทของการผลิต
อุตสาหกรรมการผลิตต่างๆล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการนำเอาวัตถุดิบซึ่งมักจะใช้ทรัพยากรธรรมชาติมาผ่านกระบวนการแปรรูปหรือทำการผลิตโดยใช้แรงงานคนและเครื่องจักแล้วส่งผ่านเพื่อนำไปแปรรูปหรือผลิตในขั้นตอนต่อๆ  ไป  จนได้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปขั้นสดสุดท้าย
ประเภทของการผลิตหมายถึงการแบ่งประเภทตามลักษณะหรือรูปแบบของกระบวนการผลิตสินค้าที่สำคัญ  ได้แก่
1. การผลิตตามความต้องการของลูกค้าหรือผลิตตามสั่ง(Customer-Built of Job Shop Process)การผลิตลักษณะนี้ผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทที่ผลิตจะมีจำนวนน้อยและผลิตตามลูกค้าเท่านั้น
2. การผลิตเป็นชุด  หรือผลิตเป็นครั้งคราว (Batch  of  Intermittent  Process) การผลิตเป็นสินค้าที่แตกต่างกันหลายชนิด  ซึ่งแต่ละชนิดจะผลิตจำนวนน้อย
3. การผลิตแบบกระบวนการหรือผลิตแบบต่อเนื่อง (Process  of  Continuos  Process) การผลิตจะเป็นการผลิตสำค้าจำนวนไม่กี่ชนิด  แต่ละชนิดผลิตจำนวนน้อย
4.การผลิตแบบซ้ำๆ (Repetitive  Process)การผลิตแบบนี้มีลักษณะคล้ายกับการผลิตแบบต่อเนื่องแต่การผลิตซ้ำๆบ่อยครั้งกว่า
5.การผลิตประเภทที่รัฐควบคุมเป็นการผลิตที่รัฐควบคุมโดยมีหลักเกณฑ์บังคับเข้มงวด  เช่น  อาหาร  พลังงาน  ยารักษาโรค  อาวุธสงคราม  สินค้าด้านสุขภาพอนามัยและสาธารณูปโภค
คุณลักษณะการผลิตที่เหมือนกัน  ผู้บริหาร  ผู้จัดการ  ส่วนมากแล้วมักจะเชื่อกันว่า  องค์การแต่ละแห่งจะมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากองค์การอื่นๆทำให้แต่ละองค์การต้องมีกิจกรรมพื้นฐานที่แตกต่างกันไปเช่น วัตถุประสงค์พื้นฐานการวัดผลการทำงาน  ความสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้ส่งมอบ  กิจกรรมภายในและระบบต่างๆ  จะถูกนำมาใช้ในการวางแผนและควบคุมกระบวนการได้คล้ายๆกัน  การละเลยหรือไม่ข้าใจลักษณะที่เหมือนๆกันเช่นนี้  จะเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการเจริญเติบโตขององค์การ  องค์การจึงต้องให้ความสนใจในความเหมือนกันหรือคุณลักษณะร่วมเป็นสำคัญ
วัตถุประสงค์พื้นฐานของการผลิตจะคล้ายคลึงกันถึงแม้ว่าวัตถุประสงค์ของแต่ละองค์การใช้บุคลากรที่มีความชำนาญและมีความสามารถพิเศษในการใช้เครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อใช้ทำการผลิตซึ่งทุกอย่างล้วนแต่เข้าสู่กระบวนการแปรรูปวัสดุ  หรือวัตถุดิบที่มีราคาต่ำให้เป็นสินค้า  หรือผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงขึ้น   โดยการเพิ่มคุณค่าในทุกขั้นตอนของการแปรรูปหรือกระบวนการผลิต
กระบวนการผลิต
กระบวนการผลิต (Production  Process) หมายถึงขั้นตอนการทำงานด้านการผลิตและการบริการที่แสดงถึง  รายละเอียดลำดับขั้นตอนของการเปลี่ยนสถาน  ปัจจัยนำเข้าให้เป็นผลผลิตองค์การต้องพิจารณาการผลิตให้เป็น
กระบวนการที่ครอบคลุมตั้งแต่การส่งมอบ (Suppliers) ผ่านกระบวนการต่างๆ  ของการผลิตทั้งหมดเรื่อยไปจนสิ้นสุดถึงมือลูกค้า(Customers)โดยสามารถตรวจสอบคุณภาพ(Inspection)ที่จะทำให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพพอดีสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
แสดงกระบวนการผลิตสินค้าขององค์การ
การบริหารการผลิตจะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นเมื่อขั้นตอนกระบวนการผลิตไหลอย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด  และมีระบบที่ง่ายๆ  ไม่ยุ่งยาก  โดยเฉพาะในการผลิตที่ยิ่งมีระบบย่อย  หรือแยกส่วนมากเท่าใด  ก็จะมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น
การเพิ่มผลผลผลิตโดยรวม  
ารเพิ่มผลผลิตโดยรวมผลรวมของการเพิ่มผลผลิตด้านต้นทุนและการเพิ่มผลผลิตด้านทรัพยากรบุคคลซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงขององค์การและของชาติโดยรวม  การเพิ่มผลผลิตโดยรวมมีปัจจัยสำคัญ  2  ประการ  คือ
1.การเพิ่มผลผลิตของทุน (Capital  Productivity)   การเพิ่มผลผลิตของทุน  ส่วนหนึ่งของการวัดเพิ่มผลผลิตคือ  ดูจากจำนวนรายได้ที่ได้รับการลงทุนโดยเปรียบเทียบกับเงินทุนที่ต้องจ่ายไปอัตราส่วนที่ใช้ในการพิจารณามีดังนี้
การเพิ่มผลผลิต  =   จำนวนเงินที่ได้รับ
       จำนวนเงินทุนที่นำไปลงทุน
การเพิ่มผลผลิตทุนทำได้  2  ลักษณะ  คือ
1.1เครื่องจักร(Machine)หมายถึงเครื่องจักรซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการผลิตทั้งระบบอัตโนมัติ  คอมพิวเตอร์  ตลอดจนหุ่นยนต์ในการผลิต
1.2  เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง  การนำวิธีการต่างๆมาใช้ในการผลิต ได้แก่  การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์และการผลิต  รวมทั้งการประยุกต์ใช้วิธีการทางวิศวกรรม
2.การเพิ่มผลผลิตกำลังคน  เป็นการเพิ่มผลผลิตจากการใช้ทรัพยากรบุคคล  ซึ่งมีปัจจัยสำคัญ  ได้แก่
💛2.1 การวางแผนกำลังคน (Manpower  Planning) คือ  การวางแผนกำลังคนเพื่อประสิทธิภาพในการผลิตโดยจะกำหนดจำนวนบุคลากร  การใช้ประโยชน์จากบุคลากร  การเพิ่มศักยภาพของคน  หากองค์การมีการวางแผนเรื่องกำลังคนไว้อย่างเหมาะสม  การปรับปรุงการเพิ่มผลิลลิตก็สามารถทำได้ง่าย

💛2.2 สัมพันธภาพของพนักงานและฝ่ายจัดการ (Labor  Management  Relation) เรื่องที่จำเป็นสำหรับการเพิ่มผลผลิต  ถึงแม้ว่าองค์การจะมีเครื่องจักรที่ดีและทันสมัยที่สุด  และพนักงานได้รับการอบรมอย่างดีก็ตาม  แต่ก็อาจจะทำงานได้ไม่ดีนัก  ถ้าสัมพันธภาพระหว่างพนักงานกับฝ่ายจัดการไม่ดี
💛2.3 ทัศนคติในการทำงาน (Work Attitude) เป็นการหาแนวทางที่จะทำให้พนักงานทุกคนในองค์การมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเห็นความสำคัญที่จะปรับปรุงการปฏิบัติงานต่างๆให้ดีอยู่เสมอถ้าหากพนักงานทุกคนมีทัศนคติที่ดีและมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตจะเกิดประโยชน์ต่อองค์การอย่างมากทัศนคติในการทำงานจะเกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆ  คือ  ความมีระเบียบวินัยการตรงต่อเวลา  การปฏิบัติตามกฎ  และการรักษาความสะอาดเรียบร้อยของสถานที่ทำงาน  ความตั้งใจที่จะร่วมมือระหว่างพนักงานและการทำงานเป็นทีม
💛2.4 ระดับทักษะของแรงงาน(Level of  Skill) ปัจจุบันสภาพแวดล้อมในการผลิตเปลี่ยนแปลงไป   เทคโนโลยีใหม่ๆได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการทำงานจึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาให้การศึกษาขึ้นพื้นฐานและทักษะที่ยากขึ้น  เพื่อให้พนักงานพร้อมที่จะรับเทคโนโลยีใหม่ๆ  นำมาใช้ผลิตสินค้าและบริการให้ดีขึ้น  ดังนั้น  การอบรมทักษะให้พนักงานมีความรู้ในหลายอย่าง (Multiskill-Beside) เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเพิ่มผลผลิต
💛2.5 การบริหารการเพิ่มผลผลิต (Productivity  Management) การเพิ่มผลผลิตจะต้องมีการบริหารงานอย่างเป็นระเบียบ  มีกฎมีระเบียบเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล  การบริหารกิจกรรมการเพิ่มผลผลิตในองค์การจำเป็นต้องมีการวางแผนการจัดรูปแบบวิธีการ การสื่อสาร การจูงใจ เพื่อรวมพลังความสามารถของบุคลากรในองค์การในการพัฒนาปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง
💛2.6 การประกอบการ (Entrepreneurship) ลักษณะของผู้ประกอบการมีความชำนาญสามารถปฏิบัติการสร้างความคิดริเริ่มใหม่ๆ  สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่หรือปรับปรุงธุรกิจในสภาพปัจจุบัน

👉จะเห็นได้ว่าทั้ง  6  ประการที่กล่าวมานี้  จะส่งผลกระทบต่อการเพิ่มผลผลิต  การเพิ่มผลผลิตโดยรวม  จึงเป็นผลจากการเพิ่มผลผลิตทางด้านทุน  และทรัพยากรบุคคล  ถ้าการเพิ่มผลผลิตโดยรวมขององค์การดีแล้ว  ก็จะส่งผลดีต่อทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ  พนักงาน  ผู้บริโภค และของประเทศอีกด้วย
🙏ขอขอบคุณ http://toorsicc.blogspot.com/p/8_14.html
สืบค้นเมื่อวันที่(1 กรกฏาคม 2562)

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กรความหมาย การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร ข้อแตกต่างของคำว่า ประสิทธิผล กับ ประสิท...